HIP CYCLING JAPAN 2018 : ปั่นจักรยานท่องเที่ยว Aizu และ Nasu
เมื่อเดือนพฤศจิกายน สองปีก่อน ผมและจุ๋ยจุ๋ยส์ ได้มีโอกาสหอบหิ้วจักรยานจากเชียงใหม่ ไปปั่นที่ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นเราไปปั่นที่เมือง Nasu และ Nikko ที่อยู่จังหวัด Tochigi มาปีนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราได้กลับไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยครั้งนี้ไปปั่นที่ Nasu และ Aizu ที่อยู่ในเขตจังหวัด Fugushima ซึ่งครั้งนี้ก็มีเพื่อนนักปั่นจากกรุงเทพฯ ร่วมเดินทางไปปั่นกับเราด้วย
โครงการ HIP Cycling Japan เป็นการร่วมมือกันของ HIP จากเมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย และ Ride Experience (website: ride-experience.com / Facebook: Ride Experience) ที่อยู่ที่เมือง Nasu ประเทศญี่ปุ่น วางเป้าหมายไว้ว่าจะชวนเพื่อนๆ นักปั่นจากเมืองไทย ไปปั่นจักรยาน (ท่องเที่ยว ดื่ม กิน) ที่ประเทศญี่ปุ่นปีละครั้ง โดย Mr. Tetsuya Yamamoto จากทาง Ride Experience บอกว่า เดือนที่อากาศดีที่สุดที่น่าไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวก็คือ เดือนพฤษภาคม และ ตุลาคม
ปีนี้เราเลือกเดือนตุลาคม ช่วงประมาณวันที่ 20 กว่าๆ เพราะคาดว่าอากาศจะเริ่มเย็นๆ หนาวๆ บ้างแล้ว แต่คงไม่หนาวจัดเหมือนเดือนพฤศจิกายน ที่ผมเคยเจอเมื่อสองปีก่อน และเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ใบไม้ตามภูเขาในญี่ปุ่นเปลี่ยนสี คาดว่าถ่ายรูปออกมาน่าจะสวยงาม
เราวางโปรแกรมว่า จะปั่นจักรยานท่องเที่ยว กินลม ชมวิว ชมธรรมชาติ ขึ้นเขาบ้าง ลงเขาบ้าง กันสัก 3 วัน และมาเที่ยวกรุงโตเกียวเพื่อดื่ม กิน ช้อปปิ้ง ดูแสงสีกันสัก 1 คืนก่อนกลับบ้าน ผมก็เลยวางแพลนว่า เราจะไปนอนนอกโตเกียว 4 คืน นอนในโตเกียว 1 คืน โดยให้โจทย์ทาง Ride Experience ผู้ประสานงานทางญี่ปุ่นว่า ทุกคืนที่พักนอกโตเกียว ขอให้ที่พักมีออนเซ็นทุกที่ เพราะเชื่อว่าเมื่อปั่นจักรยานมาเหนื่อยๆ ทั้งวันแล้ว การได้แช่ออนเซ็นจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและสดชื่น
การวางแผนไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นของเรา ทาง Ride Experience เป็นผู้จัดการเรื่องการวางเส้นทาง จัดหารถเซอร์วิส รถขนจักรยาน มีไกด์นำปั่นจักรยาน (ซึ่งก็คือคุณเท็ตซุยะนั่นแหละครับ) มีช่างภาพ (คนเดียวกับคนขับรถเซอร์วิส) และก็มีบริการให้เช่าจักรยาน (ดีๆ) สำหรับปั่นที่ญี่ปุ่นด้วย แต่พวกเราทั้งทีมที่ไปรอบนี้ สมัครใจที่จะขนจักรยานไปจากเมืองไทยกันเอง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การถอด ประกอบ แพ็ค และหอบหิ้วจักรยานใส่กระเป๋าไปยังต่างแดน
บางคนในกลุ่มที่ไปรอบนี้ บอกว่า “เอารถเราไปเองถ่ายรูปออกมาเท่กว่านะพี่” - จริงครับ!
สำหรับตั๋วเครื่องบินไป - กลับจากเมืองไทย ทีแรกเลยที่ผมคิดไว้คือซื้อกันอิสระ ใครอยากบินสายการบินไหนก็ได้ไม่เกี่ยง ขอให้ไปถึงสนามบินนาริตะ ตอนเช้าวันเดียวกันเป็นใช้ได้ (เราไปถึงเช้าวันที่ 21 ตุลาคม) ช่วงที่เราไปเรียกได้ว่าเป็นช่วงอากาศดีของญี่ปุ่นปีนี้ หมดพายุฝนแล้ว ใบไม้เริ่มจะเปลี่ยนสีแล้ว แน่นอนว่าตั๋วเดินทางจากเมืองไทยไปญี่ปุ่นไม่ถูกแน่ ผมและจุ๋ยตัดสินใจเลือก Air Asia X เพราะประหยัดสุด เวลาไฟลท์ไป - กลับ ดอนเมือง - นาริตะ ที่ออกกลางคืนก็โอเคเลย ผมกดมาได้ 9 พันกว่าบาท ของจุ๋ยได้มา 1 หมื่นบาทกับอีกไม่กี่ร้อย คนอื่นๆ ก็เลยเดินทางด้วย Air Asia X กันหมด บางคนกดซื้อชั้น Business / Premium Flatbed ของ Air Asia X สบายๆ กันไป
สำหรับกระเป๋าจักรยาน ซึ่งทางสายการบินจัดเป็นอุปกรณ์กีฬา ก็สามารถกดซื้อได้ตามน้ำหนักที่เราต้องการเลยนะครับ ราคาต่อเที่ยว สำหรับ 20 กิโลกรัมเหมือนจะอยู่ที่ 1,500 บาท แต่สำหรับการไปปั่นรอบนี้ของ HIP x Ride Experience ทาง Thai Air Asia X ได้ช่วยสนับสนุนค่าอุปกรณ์กีฬาของพวกเราแต่ละคน ก็ถือโอกาสขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
วันแรกเมื่อถึงสนามบินนาริตะ เราเดินทางสู่เมือง Nasu ด้วยรถตู้สำหรับคน 1 คัน และสำหรับขนกระเป๋าจักรยานอีก 1 คัน เพื่อไปประกอบจักรยานที่ออฟฟิศของ Ride Experience ก่อนที่จะฝากกระเป๋าจักรยานไว้ที่ออฟฟิศใน Nasu หลังจากนั้นคนพร้อมจักรยานทั้งหมดก็โดยสารรถเซอร์วิสมุ่งหน้าขึ้นภูเขาต่อไปยัง Takuya Onsen ที่อยู่ในเขต Fugushima กว่าจะถึงที่พักของวันแรกคือมืดค่ำ ลงรถมาก็หนาวเลยครับ คือหนาวกว่าที่คิดไว้ ก็ต้องพึ่งการแช่ออนเซ็น ก่อนจะไปกินอาหารค่ำพร้อมดื่มเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวปั่นวันรุ่งขึ้น
วันที่สองที่ไปถึง ซึ่งก็คือการปั่นวันแรก ออกสตาร์ทกันแบบหนาวๆ ท่ามกลางวิวสองข้างทางที่สวยงามและแปลกตา แม้ว่าอากาศจะหนาวอยู่บ้างในช่วงเช้าๆ แต่เหมือนทุกคนจะเตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาดี ในขณะที่ตัวผมเองรู้สึกว่ายังหนาวไม่เท่าสองปีก่อน แต่พอถึงช่วงลงเขาแต่ละครั้งก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ปั่นวันแรกนี่คือ อากาศหนาวเย็น แต่เหงื่อชุ่มอยู่ข้างใน สนุกและเพลิดเพลินดีกว่า ความที่ก่อนจะเดินทางครั้งนี้ ผมซ้อมมาค่อนข้างน้อย จึงพยายามปั่นแบบประคองตัวไปเรื่อยๆ ดีที่คุณเท็ตซุยะที่เป็นไกด์ ไม่ได้ปั่นเร็วนัก และจอดพักค่อนข้างบ่อย ปั่นไปแวะถ่ายรูปไป วันแรกจึงจบระยะทางราว 70 กิโลเมตร แบบสบายกายและสบายใจ เย็นมาถึงที่พักใน Aizu แช่ออนเซ็น กินเบียร์คลายเส้น และอาหารค่ำในโรงแรม
วันต่อมา ทางคุณเท็ตซุยะ เน้นปั่นพาชมแหล่งท่องเที่ยวใน Aizu ทำให้จอดบ่อยและปั่นได้ระยะไม่มากนัก อีกทั้งเส้นทางก็เป็นเส้นไหลลงเขาเป็นส่วนมาก รวมแล้วทั้งวันปั่นแค่ประมาณ 30 กิโลเมตร ดีที่มีวิวสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปอยู่เยอะ ก็พอสนุกสนานกันได้ แต่เหมือนว่ายังปั่นกัน ‘ไม่อิ่ม’ ก็หมดวันซะก่อน แล้วก็ต้องนั่งรถเซอร์วิสเพื่อต้องเดินทางต่อไปยังเมือง Nasu เมืองที่ผมกับจุ๋ยเคยมาปั่นแล้วเมื่อสองปีก่อน และรู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นการจะปั่นขึ้นภูเขา Nasu นั้นต้องเตรียมร่างกาย (ตัวเอง) ให้ดี
วันที่สามของการปั่น เรียกได้ว่าสนุกที่สุดนะครับ และถูกใจเพื่อนนักปั่นร่วมทริปทุกคน แม้ว่าระยะทางรวมจะไม่มากแค่ประมาณ 60 กิโลเมตร แต่คุณเท็ตซุยะก็จัดให้ปั่นและเที่ยวกันอย่างครบรส จากโรงแรมที่พัก เราต้องปั่นขึ้นเนินยาวๆ และมีความชันพอสมควรอยู่หลายครั้ง กว่าจะถึงจุดแวะพักจุดแรกแถมยังมีละอองฝนโปรยปรายอีกด้วย แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนนักปั่นจากกรุงเทพฯ จะสนุกสนานกับการไต่ดอยญี่ปุ่นกันถ้วนหน้า เส้นทางนี้จากจุดพักแรกจนถึงข้างบนภูเขา Nasu ผมเคยผ่านมาแล้ว จึงค่อยๆ ขึ้นไปช้าๆ แบบไม่รีบร้อน เพราะอยากจะเซฟเรี่ยวแรงเอาไว้ในช่วงบ่ายบ้าง และด้วยเพราะอากาศที่ดีมากในวันนั้น ช่วยให้ไม่เหนื่อยมากนัก พอได้ปั่นบนถนนที่เคยผ่านมาแล้วครึ่งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า จุดหมายที่คิดไว้ว่าทั้งสูงทั้งไกล อยู่ใกล้กว่าที่คิดเอาไว้เยอะ
อย่างที่บอกนะครับ วันที่สามของการปั่นนี่คือครบจริง ทั้งขึ้นดอย ลงดอย ไปเที่ยวชมธรรมชาติด้วยการนั่งกระเช้าขึ้นไปภูเขาก่อนมื้อเที่ยง ตกบ่ายเย็นก็ปั่นไปกินขนมกินเค้ก จนเย็นจึงได้เวลาปั่นกลับโรงแรม ซึ่งโรงแรมที่พักอยู่บนเขานะครับ นั่นหมายถึงว่า ต้องปีนดอยกันอีกในช่วงเย็นก่อนถึงโรงแรม ผมเองยอมรับเลยครับว่า ‘หมดแรง’ จริงจัง ตอนปั่นคิดถึงแต่เบียร์เย็นๆ อย่างเดียว
พูดถึงเรื่อง เบียร์ ตลอดเวลา 3 วันที่ปั่นจักรยานในญี่ปุ่น ทุกมื้อกลางวันและช่วงบ่ายตามจุดแวะต่างๆ ผมและคุณฟู จาก Stories Group ก็จะมองหน้ากันเหมือนจะชวนกินเบียร์ตลอด แต่คุณเท็ตซุยะไกด์ของเรา ก็แจ้งว่า “สมชายซัง ถ้ายูจะกินเบียร์ ก็ต้องหยุดปั่นเลย เอาจักรยานแล้วก็ตัวยูขึ้นรถเซอร์วิสเลย แต่ถ้าจะปั่น ก็ยังไม่ให้กิน จนกว่าจะปั่นจบ” ตามนั้นครับ ชั่วโมงสุดท้ายของการปั่นวันที่สามนี่คิดถึงเบียร์อย่างเดียวเลย (ฮา)
หลังจบการปั่นวันที่สาม พวกเราจัดการแพ็คจักรยานลงกระเป๋าจักรยานทันที ก่อนที่จะออกไปปาร์ตี้นอกโรงแรม เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางจาก Nasu เข้าโตเกียวโดยรถไฟชินคันเซน โดยไม่ต้องแบกกระเป๋าจักรยานไปด้วย เพราะทาง Ride Experience จะขนจักรยานไปให้เราที่สนามบินนาริตะในวันที่เราจะเดินทางกลับ เห็นมั้ยครับว่าไปปั่นที่ญี่ปุ่นกับ HIP Cycling Japan สะดวกสบายดีจริงๆ
ที่เมือง Nasu นอกจากจะมีสถานที่ออนเซ็นดีๆ มีภูมิประเทศสวยงาม เนื้ออร่อยแล้ว เมืองนี้ยังเป็นมีเบียร์ที่รสชาติดีมากอีกด้วย นั่นคือ Nasu Kohgen Beer ซึ่งผมเองมีโอกาสได้ชิมเมื่อสองปีก่อน แล้วยังรู้สึกติดใจในรสชาติ แต่ก็ไม่เคยเห็นเบียร์ยี่ห้อนี้ส่งไปขายที่เมืองไหนในญี่ปุ่น (ที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนมานะครับ) มาคราวนี้ก็เลยตั้งใจว่า นอกจากปั่นจักรยาน แช่ออนเซ็นแล้ว จะชวนชาวคณะนักปั่นสายดื่มด้วยกันมาชิม Nasu Beer ด้วย ก็เลยบอกกับคุณเท็ตซุยะ ไกด์นักปั่นและผู้ประสานงานเจ้าของพื้นที่ เขาก็เลยถือโอกาสพาพวกเราไปเยี่ยมชมชิมถึงถิ่นผลิตโรงเบียร์ Nasu Kohgen เพื่อให้เราได้ชิมเบียร์คราฟท์สดจากแท็ป และเพื่อซื้อแบบขวดไปกินต่อในคืนส่งท้ายที่ Nasu อีกด้วย
รถไฟชินคันเซนจากสถานี Nasushiobara เข้ามากรุงโตเกียวใช้เวลาวิ่งประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น จะว่าไปแล้ว ก็สะดวกมาก สำหรับคนที่ไปเที่ยวโตเกียวแล้วอยากจะไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวเล่นๆ แถว Nasu (แบบไม่ได้ปั่นจริงจังเป็น 2 - 3 วัน) โดยเฉพาะคนที่มี JR Pass สามารถติดต่อกับทาง Ride Experience ไว้ล่วงหน้า แล้วนั่งชินคันเซ็นไป เช่าจักรยานปั่นสักครึ่งวัน ดูที่พักที่มีที่แช่ออนเซ็น นอนเล่นสักหนึ่งคืน ชิม Nasu Beer แล้วค่อยเดินทางกลับโตเกียวในอีกวันก็สามารถทำได้อย่างสบาย แต่ว่าถ้าไปในช่วงฤดูหนาว พื้นที่แถบนอกตัวเมืองและบนภูเขา Nasu ที่ผมและเพื่อนๆ ไปปั่นจักรยานก็จะกลายเป็นแหล่งเล่นสกีของชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความหนาว
แต่เท่าที่ได้ไปเยือนเมืองนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันประมาณ 2 ปี ดูเหมือนว่า นักท่องเที่ยวชาวไทย จะไปเที่ยวที่ Nasu ยังไม่มากนักนะครับ
สำหรับโปรแกรม HIP Cycling Japan ที่ทาง HIP ร่วมมือกับRide Experience ในปีหน้าก็คุยเกริ่นกันไว้แล้วว่าคงจะทำต่อเนื่องอีก แต่คงจะเปลี่ยนพื้นที่ในการปั่นในญี่ปุ่นไปทางเมืองอื่นๆ ดูบ้าง ซึ่งทาง Ride Experience ก็พร้อมที่จะเซอร์วิสพวกเราทุกๆ พื้นที่ในญี่ปุ่นนะครับ คาดว่าคงจะเป็นช่วงเดือนตุลาคมเช่นเดียวกับปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูหนาวนั่นแหละครับ แต่ถ้าใครอยากจะมาปั่นแบบพวกเราที่ Nasu ในปีนี้ ทาง Ride Experience ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะชาวเมืองบอกเลยว่าอยากให้นักท่องเที่ยวและนักปั่นจักรยานชาวไทยไปเที่ยวที่เมืองของพวกเขา
เมื่อจบจากการปั่นจักรยานท่องเที่ยว 3 วันเต็ม นอนอยู่นอกโตเกียว 4 คืน พวกเราทั้งหมดก็เข้าไปตะลุยโตเกียวกันต่ออีก 1 คืน เมืองอย่างโตเกียวแม้ว่าจะมาเที่ยวหลายครั้ง แต่ถ้ามีโอกาสได้มาแวะสัก 1 - 2 คืน ก็ยังไม่น่าเบื่อหรอกนะครับ โตเกียวเป็นมหานครที่การเดินทางโดยรถไฟสะดวก มีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกกินเยอะ สำหรับผมแล้ว ที่โตเกียวไม่จำเป็นต้องไปร้านดังก็ยังรู้สึกว่าอร่อย (ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะบรรยากาศมันพาไป)
ที่โตเกียว พวกเราแยกกันไปเดินดูของตามความชอบ เราใช้ย่านชิบูย่าเป็นศูนย์กลาง เพราะมีให้ครบหมดทุกอย่าง บางคนเลือกที่จะไปช้อปปิ้ง จุ๋ยจุ๋ยส์เลือกที่จะไปร้านแผ่นเสียง ส่วนผมเลือกที่จะไปสัมผัสร้านเล็กๆ นั่งละเลียดเบียร์ราคาโปรโมชั่นกับของปิ้งย่าง ก่อนที่มื้อเย็นเราจะนัดเจอกันเพื่อกินเนื้อย่าง แล้วไปจบที่ร้านคราฟท์เบียร์ ที่ดูเหมือนว่าระยะหลังมานี้ในญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่โตเกียว จะเป็นที่ฮิตของนักดื่มคราฟท์เบียร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงนี้ญี่ปุ่นเองก็กำลังปรับปรุงนครโตเกียวอย่างมาก เพราะอีกไม่นาน มหกรรมกีฬาโอลิมปิค ปี 2020 ก็จะถูกจัดขึ้นที่มหานครแห่งนี้
บทส่งท้ายสำหรับเรื่องเล่าของการมาเยือนญี่ปุ่นรอบนี้… ถ้าพูดถึงการมาเที่ยวญี่ปุ่น แล้วมาปั่นจักรยานด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนุกนะครับ โดยเฉพาะการได้ปั่นตามต่างจังหวัดของญี่ปุ่น ได้เรียนรู้อาหารการกินท้องถิ่น ได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนนอกเมืองใหญ่ ที่สำคัญคือ ถนนที่ญี่ปุ่นตามต่างจังหวัดปั่นปลอดภัยดีมาก รถยนต์น้อย ผู้คนเป็นมิตร แต่ก็จะมีข้อเสียคือ ยิ่งห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆ ก็จะสื่อสารกับคนพื้นที่ลำบากสักหน่อย (ถ้าใครสนใจจะนำจักรยานมาปั่นเอง แบบไม่ได้ใช้ไกด์)
ปีหน้าเจอกันอีกแน่นอนครับ HIP Cycling Japan 2019
สนใจติดต่อ Ride Experience
www.ride-experience.com / Facebook : Ride Experience
ขอขอบคุณ
สายการบิน Thai Air Asia X (www.airasia.com)