Nich Team Race 2018 “ขึ้นเลย”
Nich Team Race การแข่งขันจักรยานทางไกลในรูปแบบทีมที่จัดโดย Nich Cycling จักรยานแบรนด์ไทย ซึ่งปีนี้จัดกันที่จังหวัดเลย และจัดติดต่อกันมาเป็นปีที่ 5 แล้ว
Nich Team Race อาจจะไม่ใช่การแข่งจักรยานในลักษณะที่ทุกคนคุ้นเคย งานนี้ไม่มีคนชนะ ไม่มีคนแพ้ มีแต่ปั่นจบกับไม่จบ ไม่มีโพเดียม มีแต่การประกาศเวลาที่แต่ละทีมทำได้ซึ่งก็เป็นการประกาศให้ทุกทีมรู้ที่งานเลี้ยงหลังจากปั่นจบ เพราะเอาจริงๆหัวใจของงานนี้คือ Team Spirit เวลาจะถูกนับเมื่อคนในทีมคนสุดท้ายเข้าเส้น นั่นก็หมายความว่าทุกคนต้องปั่นด้วยกันเพื่อให้ถึงเส้นชัยพร้อมกัน
เหมือนกับ race note บางส่วนจากผู้จัด “การแข่งแบบทีมนี้อาจจะเป็นการแข่งจับเวลาแบบ Team Time Trial เพื่อหาทีมที่ทำเวลาได้ดีที่สุด แต่เราก็ได้ผสมมิติการผจญภัย การช่วยเหลือดูแลลูกทีม และการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ด้วยตัวเองลงไปด้วย เราไม่อยากเน้นว่าจะต้องแข่งกันทำเวลาเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้ได้สนุกกับการปั่นกับเพื่อนร่วมทีม เอาชนะอุปสรรคไปด้วยกันให้ได้”
พวกเราเคยเข้าร่วมงาน Nich Team Race 2016 ที่น่าน เมื่อ 2 ปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 50 ทีม ในปีนี้ความนิยมของงานมากขึ้นเรื่อยๆจึงเพิ่มจำนวนทีมแข่งขันทั้งหมดเป็น 80 ทีม ตอนสมัครมีทีมจากทั่วประเทศสนใจสมัครเป็นจำนวนมากและเต็มภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที!
-
เรื่องเล่าจากทีม B
ปีนี้ทีมเราส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 2 ทีมคือทีม A และทีม B ทีมละ 4 คนรวมทั้งหมด 8 คน โดยเราวางแผนกันไว้ว่าทีม A จะเป็นทีมที่เน้นทำอันดับ และทีม B จะเป็นทีมที่ปั่นสบายๆ ปีนี้ผมตัดสินใจอยู่ทีม B เพราะรู้ตัวว่าปีนี้ผมไม่ค่อยฟิตเท่าไรและอยากจะเก็บบรรยากาศการแข่งขันให้ได้มากที่สุด
โดยทีม A ของเราประกอบไปด้วย ต้อมโม เฮียเก่ง ไก่ และตั้ม ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นสมาชิกที่พึ่งผ่าน Audax600 พิษณุโลกมาเมื่อเดือนก่อน เรื่องความฟิตไม่ต้องพูดถึง! และทีม B ประกอบไปด้วย ผม พจน์ โอ๋ และหมอนิดผู้หญิงคนเดียวในทีม หมอนิดเป็นหมอฟันขาแรงซึ่งเคยปั่นทีมมาด้วยกันหลายครั้ง
-
เลย.. จังหวัดที่เต็มไปด้วยขุนเขา สายหมอก และวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ำโขง
“เลย” จังหวัดที่อยู่อีกซีกนึงของประเทศ เมื่อพูดถึง เลย สิ่งที่ผมนึกถึงคือ ภูกระดึง ภูเรือ และเชียงคาน แต่ถ้าพูดถึงเส้นทางจักรยานผมยังนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง ความตื่นเต้นของการออกไปปั่นต่างจังหวัด มันอยู่ตรงนี้แหละ เราไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าเรากำลังจะไปเจอกับอะไร การปั่นนอกเส้นทางที่คุ้นเคย ในแต่ละครั้ง มันจึงเป็นเรื่องชวนตื่นเต้นเสมอ
การแข่งขันเริ่มปล่อยตัวกันที่โรงแรมเลยพาเลช ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางตัวเมือง ทีมแรกเริ่มปล่อยตัวกันตี 5 กว่าๆโดยทยอยปล่อยตัวแต่ละทีมห่างกัน 30 วินาที พวกเราทั้งทีม A และทีม B ถูกปล่อยตัวเป็นทีมเกือบท้ายๆ ทีม A ได้ปล่อยตัวลำดับที่ 75 ในขณะที่ทีม B ได้ปล่อยตัวลำดับที่ 65 ห่างจากทีมแรกกว่าครึ่งชั่วโมง (ผู้จัดเรียงลำดับการปล่อยตัวจากความแข่งแกร่งของทีม นั่นก็หมายความว่าทีมที่ปล่อยตัวท้ายๆเป็นทีมที่ค่อนข้างแข็งแรงในสายตาผู้จัด!)
เรานึกเสียดายที่อาจจะไม่มีโอกาศได้เห็นหมอกในตอนเช้าตรู่ แต่ผิดคาด ระยะทาง 50 กม แรกก่อนเข้า cp1 ที่บ้านปากยาง หมอกลงหนาตลอดทาง แม้พระอาทิตย์จะขึ้นมาได้ซักพักแต่หมอกยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลง ถนนเป็นทางเรียบสลับกับเนินเขาสั้นๆลัดเลาะผ่านหมู่บ้าน เราสังเกตเห็นชาวบ้านและเด็กๆยิ้มแย้มและทักทายพวกเราตลอดทาง
การปั่นจากจุดสตาร์ทไป cp1 มันเหมือนกับเป็นคำทักทายที่ไม่คุ้นหูจากคนแปลกหน้า แต่เมื่อได้คุยกันซักพักเราก็ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
-
Cp1 กม50 – Cp2 กม98 การแข่งขันเริ่มดุเดือด!
ทีม A แซงเราไปตั้งแต่ยังไม่เข้า cp1 แต่ทีม B ของพวกเราก็ถือว่าทำเวลาค่อนข้างดี ตอนบรีฟก่อนปล่อยตัวผมบอกกับทุกคนว่าทีม B เราจะไม่เน้นทำเวลา แต่ไม่ขอเข้าเป็นทีมท้ายๆ อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้หลุดจากกลุ่มกลาง นั่นก็แปลว่าเราต้องไล่แซงทีมคู่แข่งไม่ต่ำกว่า 30 ทีมเพื่อเข้ามาอยู่กลุ่มกลางให้ได้!
พอเราเริ่มออกจาก cp1 หมอกเริ่มจาง อากาศเริ่มร้อน บรรยากาศการปั่นเริ่มดุเดือด! เราปรับขบวนการปั่นเป็นแถวเรียงเดี่ยวโดยพลัดกันนำเพื่อทำเวลาให้เร็วที่สุด จาก cp1 เราเริ่มแซงทีมอื่นทีละทีม ถ้าประมาณกันคร่าวๆตอนนี้เราแซงได้เกือบ 20 ทีมแล้ว ทุกคนเริ่มคึกคักโดยเฉพาะหมอนิด ซึ่งซ้อมมาอย่างดีปั่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลย เส้นทางช่วงนี้เริ่มเข้าเขตภูเขาสูง มีเนินชันๆและทางไหลลงยาวๆและต่อด้วยเนินชันๆซ้ำไปซ้ำมา
-
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน!
เมื่อเข้าเขตภูเขา ผมชะลอความเร็วเพื่อให้ตำแหน่งตัวเองอยู่หลังกลุ่ม จะได้คอยสังเกตเวลาสมาชิกในทีมเริ่มเหนื่อย ตอนนี้เราให้หมอนิดเป็นคนนำกลุ่มเพราะคิดว่าหมอนิดซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวจะปั่นขึ้นดอยได้ช้าสุด ความเร็วกลุ่มจะได้ไม่เร็วจนเกินไป คนที่ปั่นช้าที่สุดจะได้ไม่เหนื่อย แต่ที่ไหนได้หมอนิดปั่นขึ้นดอยได้ดีมากกว่าเดิมมาก ทำให้เราต้องเพิ่มความเร็วเพื่อตามหมอนิดให้ทัน ในจังหวะที่ไหลลงและกระแทกขึ้นเนินนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พจน์ซึ่งปั่นอยู่ข้างหน้าผม โซ่ขาด!! ผมรีบจอดดูและเรียกให้โอ๋ และหมอนิดที่อยู่ข้างหน้าจอดรอ
“โชคดีที่ไม่ล้ม” ประโยคแรกที่ทุกคนพูด ตอนนี้เราเริ่มค้นอุปกรณ์ฉุกเฉินที่พกมา เพื่อหาตัวตัดต่อโซ่ “ผมลืมตัวตัดโซ่ไว้ที่โรงแรม” โอ๋รีบพูดขึ้นมาหลังจากที่นึกได้ ด้วยกติกาของการแข่งที่ห้ามช่วยเหลือกันนอกทีมและไม่มีรถเซอร์วิสจากทีมงาน
เรามองหน้ากันพร้อมกับช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อ ทุกคนเริ่มเป็นกังวล
“หรือทีมเราจะต้องออกจากการแข่งขัน...”
-
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี...
พอตั้งสติได้เราเริ่มสำรวจดูสภาพโซ่ที่ขาด เราเจอว่าจุดที่ขาดห่างจากจุดที่เป็นข้อปลดเร็วประมาณ 2 ข้อ ถ้าเราตัดตรงจุดที่ขาดทิ้งเราสามารถใช้ข้อปลดเร็วมาต่อโซ่ได้โดยที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์ต่อโซ่
เราเริ่มหาวิธีที่จะตัดโซ่จุดที่ขาดออก จนในที่สุด พจน์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการซ่อมจักรยานอยู่บ้าง ตัดสินใจถอดรองเท้ามาตบๆจนโซ่ข้อที่ขาดหลุดออกจากกัน และเราต่อโซ่ได้สำเร็จ ตอนนี้โซ่ของพจน์จะสั้นกว่าปกติ 2 ข้อ ซึ่งจะทำให้เข้าเกียร์บางเกียร์ไม่ได้ “ก็ยังดีที่ยังปั่นต่อได้..” แล้วก็โชคดีจริงๆที่โซ่ขาดใกล้ปลดเร็ว ถ้าขาดจุดอื่นเราคงไม่ได้ปั่นกันแล้ว!
เรากลับมาปั่นกันอีกครั้งและเร่งทำเวลาแซงทุกทีมที่แซงเราไปตอนโซ่ขาด จนมาถึง cp2 ที่ กม 98 ร้านพอเพียงคาเฟ่ อ.ท่าลี่ ตอนนี้เวลาเกือบเที่ยง จุดนี้ผู้จัดแนะนำว่าทุกทีมควรจะหาอะไรกินให้เรียบร้อย เพราะจากจุดนี้ไปจะเป็นจุดที่โหดที่สุดหรือที่เรียกว่าไฮไลท์ของการแข่งครั้งนี้!
ตอนนี้เวลาและอันดับของทีมค่อนข้างดี เราเลยคุยกันว่าเราจะสั่งข้าวกินและพักกันซักพักก่อนออกปั่นต่อ เราถามทางผู้จัดว่าทีม A เป็นยังไงบ้าง ผู้จัดบอกว่าทีม A ออกไปได้ซักครึ่งชั่วโมงแล้ว และเป็นทีมอันดับที่ 3 ที่ออกจากจุดนี้ไป
เส้นจาก cp2 ไป cp3 จะเป็นถนน 2115 ท่าลี่ - ภูเรือ โดยที่ cp3 กม 124 อยู่ตรงจุดชมวิวบ้านโคกใหญ่ ตรงนี้จะมีเนินชันๆที่นักปั่นเจ้าถิ่นเรียกกันว่า “บันไดสวรรค์”
-
บันไดสวรรค์!
เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของงานนี้ก็ว่าได้ หลังจากปั่นกันมาตลอด 100 กม ที่ กม 118-125 ระยะทางเกือบ 7 กม จะมีเนินสูงตระหง่านชนิดที่ว่าแหงนมองยังไม่เห็นจุดสูงสุด ความชันเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8% บางจุดมากถึง 21% ตลอด 7 กมสุดท้ายก่อนเข้า cp3
“ตรงนี้พวกผมเรียกกันว่า บันไดสวรรค์! มันไม่ได้มีเท่าที่เห็นนะพี่ พ้นจากตรงนี้ไปจะมีแบบนี้ต่อกันอีก 3 ลูกใครไม่แกร่งจริงมีท้อ!” นักปั่นเจ้าถิ่นแอบกระซิบ
ด้วยความประมาท ที่cp2 ผมกินข้าวไปค่อนข้างเยอะ โดยหลักการแล้วในระหว่างการแข่งขันเราควรจะเติมพลังให้พออิ่มและกินที่ละน้อยๆจะได้ไม่เกิดอาการจุกและอาหารย่อยๆไม่ทัน
พอเริ่มขึ้น บันไดสวรรค์ ผมเกิดอาการจุกจนปั่นต่อแทบไม่ไหว ด้วยสภาพของเนินนี้ที่โหดกว่าที่คิด อากาศที่ค่อนข้างร้อน ผมต้องจอดพักเป็นช่วงๆพร้อมกับนั่งมองนักปั่นทีมอื่นที่ค่อยๆเลื้อยขึ้นมา ทุกคนมีสภาพไม่ต่างกัน ตอนนี้เพื่อนร่วมทีมอีก 3 คนปั่นล่วงหน้าไปไกลแล้ว
“ไม่ไปต่อแล้วดีกว่า ไม่ไหวแล้ว!” เป็นครั้งแรกที่ผมเกิดอาการท้อ แต่เมื่อคิดถึงเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน จึงตัดสินใจที่จะไปต่อ ผมทั้งจุง ทั้งจอด ทั้งค่อยๆปั่นจนในที่สุดก็ขึ้นมาถึงจุดบนสุด ที่ cp3
เพื่อนร่วมทีมทั้ง 3 คนขึ้นมาถึงก่อนผมร่วม 20 นาที ทุกคนงงๆไปตามๆกันว่าผมซึ่งปั่นดอยเก่งที่สุดในกลุ่มจะกลายเป็นคนที่ขึ้นมาถึงจุดนี้ช้าสุด ผมบอกทุกคนว่าขอเวลาพักตรงนี้ซักพักให้อาหารย่อยก่อนออกปั่นต่อ ผมสอบถามอาการของทุกคนว่าเป็นยังไงบ้าง หมอนิดซึ่งซ้อมมาอย่างดีมีท่าทีสดใสร่าเริงปกติ พจน์ดูไม่เหนื่อยมาก แต่โอ๋อาการเริ่มน่าเป็นห่วง “เมื่อกี้ตอนเร่งขึ้นมาผมเป็นตะคริวพี่ ตอนนี้ยังปวดขาอยู่เลย” เราเลยตัดสินใจพักกันนานขึ้นอีกนิดก่อนออกปั่นต่อ
ตอนนี้อาการจุกของผมหายไปหมดแล้ว ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ จากจุดนี้จะเป็นทางลงยาวๆและไม่มีจุดพีคอีกแล้ว เราคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรอีก
-
นักกีฬาบาดเจ็บ!
จาก cp3 จุดชมวิวบ้านโคกใหญ่ มาที่ cp4 กม ที่ 141 สามแยกก่อนเข้าบ้านห้วยกระทิง เป็นทางไหลลงยาวๆ มีหลายช่วงสามารถพักขาได้ เราปั่นเป็นกลุ่มและพยายามเร่งทำเวลา โอ๋ที่มีอาการบาดเจ็บจากตะคริวเริ่มตามกลุ่มไม่ไหว หลุดจากกลุ่มไปหลายครั้ง จนในที่สุดกลุ่มก็แตก เรามารวมกลุ่มกันอีกครั้งที่ cp4 ตอนนี้โอ๋มีอาการทุลักทุเลมากกว่าที่ทุกคนคิด
จาก cp4 เหลืออีก 34 กม ก็จะปั่นจบ จากตรงนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงถ้าเป็นนักปั่นที่มีสภาพปกติ แต่จากสภาพของโอ๋ เราคิดว่าโอ๋ไม่น่าจะไหว จนในที่สุดเราจึงตัดสินใจที่จะค่อยๆปั่นเพื่อประคองให้โอ๋เข้าเส้นชัยพร้อมกันให้ได้
เราปั่นไปหยุดไป จนหลายๆทีมเริ่มแซงเราไปอีกครั้ง ในใจตอนนี้อยากจะกดตามทีมที่แซงไปใจจะขาด แต่เมื่องานนี้เป็นงาน Team Race และเราตัดสินใจที่จะปั่นกันเป็นทีม เราก็ต้องไปพร้อมกันทั้งทีม สุดท้ายเราก็ถึงเส้นชัยพร้อมกันทั้ง 4 คน พวกเราดีใจกันมากที่ลากกันพากันมาถึงสุดทางได้ แต่คนที่น่าจะดีใจที่สุดน่าจะเป็นโอ๋ ที่ร่อแร่มาตลอด 50 กมสุดท้าย!
-
สรุปกิจกรรม Nich Team Race 2018
เป็นไปตามคาด ทีม A ทำเวลาได้ดีมากและจบเป็นอันดับที่ 5 ส่วนทีม B แม้จะเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายๆอย่างแต่เราก็สามารถเข้ามาถึงเส้นชัยพร้อมกันและจบในอันดับที่ 37 ดีกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก
ถึงตรงนี้ผมอยากจะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาร่วมปั่นด้วยกัน ขอบคุณคณะผู้ Nich Cycling ที่จัดงานสนุกๆแบบนี้ Nich Team Race น่าจะเป็นงาน Team Race ที่ดีที่สุดของประเทศในขณะนี้ก็ว่าได้
และถ้ามีโอกาส เจอกันปีหน้าครับ กับ Nich Team Race 2019
เรื่อง : 55 Cycling Club
https://www.facebook.com/55CyclingClub/
ภาพ : Nich Event